งานช่างฝีมือดั้งเดิม
ภูมิปัญญา ทักษะฝีมือช่าง การเลือกใช้วัสดุ และกลวิธีการสร้างสรรค์ที่แสดงถึงอัตลักษณ์ สะท้อนพัฒนาการทางสังคม และวัฒนธรรมของกลุ่มชน โดยเฉพาะในแม่แจ่ม มีช่างฝีมือทั้งชายและหญิง ล้วนต่างแบ่งหน้าที่กันอย่างชัดเจน โดยฝึกฝนตั้งแต่เด็กจนเป็นผู้ใหญ่ งานฝีมือบางประเภทเป็นของที่ใช้กันทั่วไป และบางประเภทเป็นงานเฉพาะเจาะจง โดยขอยกตัวอย่างงานฝีมือหลัก ดังต่อไปนี้

ช่างทอผ้า
ช่างทอผ้านี้ เป็นงานของผู้หญิง ทั้งชาวไทยวน ลัวะ และปกาเกอญอ ล้วนแล้วแต่มีฝีมือด้านนี้กันทั้งสิ้น ด้วยผ้าเป็นปัจจัยหลักนั่นคือเครื่องนุ่งห่ม ตามอัตลักษณ์ของตน แต่เดิมเป็นการทอผ้าใช้กันในครอบครัว และมีบางส่วนที่ทอขายสำหรับคนที่ไม่มีฝีมือทางด้านนี้
การทอผ้า มีการทอหลากหลายชนิด บางส่วนทอผ้าพื้นสำหรับนำไปตัดเสื้อและกางเกง สำหรับผู้ชาย บางส่วนทอผ้าห่ม ผ้าทุ้ม ถุงย่าม หน้าหมอน และที่สำคัญอันเป็นสิ่งที่ขึ้นชื่อของแม่แจ่มนั้น คือ ผ้าซิ่นตีนจก
ช่างทอผ้าไทยวน ชาวไทยวนหรือคนเมืองมีเอกลักษณ์อยู่ที่การทอผ้าซิ่นตีนจก ผ้าตีนจกแม่แจ่มมีความสวยงาม ละเอียดมาก และทอแน่น จนบางครั้งยากต่อการแยกแยะว่าด้านหน้าหรือด้านหลัง
ผ้าซิ่นตีนจกของแม่แจ่ม มีลวดหลายหลักอยู่ 16 ลาย แบ่งเป็นลายแม่แจ่มโบราณ มี 11 ลาย ได้แก่ ลายหละกอนหลวง ลายเจียงแสนน้อย ลายขันเสี้ยนสำ ลายหงส์บี้ ลายหงส์ปล่อย ลายโกมฮูปนก ลายโกมหัวหมอน ลายขันสามเอว ลายขันเอวอู ลายกุดขอเบ็ด และลายนกกุม และลวดลายใหม่ที่เป็นที่นิยมอีกจำนวน 5 ลาย ได้แก่ ลายหละกอนหน้อย ลายหละกอนก๋าง ลายเจียงแสนหลวง ลายนาคกูม และลายนกนอน โดยทั้งหมดนี้ ได้รับขึ้นทะเบียนเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications: GI) และใช้ตรา GI ได้



ผ้าตีนจก ถือเป็นสิ่งที่ขึ้นชื่อ เมื่อกล่าวถึงแม่แจ่ม ผู้คนมักจะนึกถือผ้าตีนจกเป็นสิ่งแรก ปัจจุบันมีหลายหมู่บ้านที่ทอผ้าตีนจกกัน เช่น บ้านท้องฝาย บ้านทัพ บ้านไร่ บ้านสองธาร บ้านยางหลวง บ้านกองกาน ฯลฯ นอกจากจะมีการทอผ้าตีนจกแล้ว ยังมีการทอตัวซิ่น ทั้งที่เป็นลายก่าน คือลายขวาง และยังมีการทอผ้าลายผอมอ้วน (บางคนเรียกลายหอมอ้วน) อีกด้วย จากนั้นจึงมีการนำตัวซิ่น มาต่อตีนต่อเอว จึงจะสมบูรณ์เป็นผืนสำหรับนุ่ง หากต่อตีนด้วยลายจกแล้วมักจะใช้นุ่งในงานบุญ และโอกาสสำคัญ
ชาวไทยวน ยังนิยมทอซิ่นลัวะ เพื่อใช้ในการนุ่งอยู่บ้านในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นการรับเอาเทคนิคการมัดหมี่แบบลัวะมาใช้ พร้อมกับทอผ้าตามลวดลายของชาวลัวะ แต่มีการขยายหน้าฟืมให้กว้างขึ้น และเย็บผืนให้กว้างขึ้นกว่าของลัวะ
นอกจากผ้าซิ่นแล้วยังมีการจกลายหน้าหมอน สำหรับประกอบหมอนหก สำหรับใช้หนุน ทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก เพื่อเสริมแต่งเติมให้สวยงาม (บางพื้นที่นิยมในการปักดิ้นตรงหน้าหมอน) บางครั้งก็พบการทอลวดลายหน้าหมอนให้ติดต่อกัน เป็นผืนเพื่อใช้สำหรับทำตุงถวายวัด มักไม่ค่อยทอตุงเป็นผืนใหญ่หรือลวดลายอื่นอย่างของชาวไทลื้อ

ส่วนฝ้ายที่นำมาทอนั้น ก็จะเป็นฝ้ายที่ปลูกเอง ฝ้ายของแม่แจ่ม มีอยู่ด้วยกันสองสี คือ “ฝ้ายสีขาว” ที่มีจำนวนมาก และ “ฝ้ายก่อน” ที่มีสีน้ำตาล อันเป็นฝ้ายที่มีจำนวนน้อย ฝ้ายก่อนนี้เมื่อนำมาทอเป็นผืนแล้ว มักจะตัดเป็นเสื้อผ้าสำหรับผู้ชาย (สัมภาษณ์ แม่อินทร์ศรี กรรณิกา, 2559) ส่วนฝ้ายสีขาวก็จะนำมาย้อมเป็นสีต่างๆ ด้วยสีจากธรรมชาติ ปัจจุบัน มักจะนำฝ้ายที่ย้อมด้วยสีเคมีจากข้างนอก เข้ามาใช้ในการทอผ้า และก็มีบางส่วนที่ยังคงใช้สีแบบธรรมชาติ (บางทีก็ขึ้นกับลูกค้าที่สั่ง)
ช่างทอผ้าลัวะ ชาวลัวะก็นิยมทอผ้า แต่การทอผ้าของชาวลัวะนั้น ไม่ใช้กี่ทอผ้าเป็นหลังใหญ่อย่างของคนไทยวน แต่จะใช้กี่ขนาดเล็ก ผูกติดกับเอว ส่วนอีกด้านหนึ่งผูกเชือกกับเสาหรือข้างฝา โดยใช้เอวเป็นตัวดึงให้ตึงในการทอ ด้วยการที่การทอผ้าโดยผูกกับเอวนี้ จึงนิยมเรียกว่า “กี่แอว” หรือกี่เอว ฉะนั้นความกว้างของผ้าจึงไม่กว้างมาก ฉะนั้นในการตัดเย็บมักจะใช้สองผืนต่อกันตรงกลาง



ผ้าทอของชาวลัวะ มีลักษณะเด่น คือ ทอแน่น และหนา เหมาะสำหรับการนุ่งในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็น นอกจากนี้ยังสามารถช่วยป้องกันอันตรายจากของมีคมได้ เพราะความหนาของผ้าช่วยป้องกันอันตรายจากของมีคมได้
นอกจากนี้ยังมีการทอด้วยลวดลายตกแต่งสวยงาม ผ้าซิ่นบางช่วงนิยมการมัดหมี่ในเส้นยืน คนไทยวนพื้นเมืองเรียกลวดลายนี้ว่า ลายมีดซุย ซึ่งมีลักษณะคล้ายมีดซุย ส่วนชาวลัวะมองเห็นเป็นรูปนก ซึ่งซิ่นของชาวลัวะนั้นมักจะแคบและสั้น และลักษณะของผ้าซิ่นชาวลัวะนั้นก็ถ่ายทอดมายังคนไทยวนหรือคนเมืองพื้นราบด้วย จะเลียนแบบการทอลายมีดซุย หากช่างทอไม่มีความชำนาญก็จะไม่สามารถทำให้เหมือนได้ แต่ก็มีการปรับด้วยขนาดกี่ กว้างกว่า ทำให้ชาวไทยวนที่เลียนการทอของชาวลัวะมาแต่มีการปรับขนาดความยาวและความกว้างให้มากขึ้นตามความนิยมของแต่ละคน แม้ว่าคนไทยวนจะเป็นคนทอแต่ก็ยังคงเรียกซิ่นแบบนั้นว่า ซิ่นลัวะ อยู่นั่นเอง นอกจากนี้จะนิยมทอผ้าพื้นสำหรับการตัดเสื้อ (โดยเฉพาะสีขาว) ยังมีการทอผ้าห่ม ผ้าในพิธีกรรม ถุงย่าม ปลอกแขน ปลอกแข้ง และผ้ามัดเอวสำหรับผู้ชายรวมอยู่ด้วย
ผ้าในพิธีกรรม โดยเฉพาะพิธีกรรมในงานศพ โดยจะมีการทอผ้ารองศพ และผ้าคลุมศพ ซึ่งผ้าคลุมเท่านั้นที่จะมีลวดลายเฉพาะตัว เชื่อว่าจะนำพาวิญญาณไปสู่สรวงสวรรค์ ต่อมาเมื่อมีการเปิดการค้ากับภายนอก นอกจากจะมีการนำเสื้อ ซิ่น มาขายแล้ว ยังนำลวดลายอันถือว่าเชื่อมต่อโลกมนุษย์และสวรรค์ นับว่าเป็นสิ่งมงคล มาประดับตกแต่งกับเสื้อ หรือทอเป็นผืนอีกด้วย (สัมภาษณ์ นุสรา เตียงเกตุ, 2560)

ช่างทอผ้าปกาเกญอ ก็ทอผ้าโดยใช้กี่แอว เช่นเดียวกับชาวลัวะ มีเทคนิคมัดหมี่เหมือนกัน ตลอดถึงความกว้างของผืนผ้าที่มีหน้าแคบคล้ายกับชาวลัวะ อันเกิดจากกี่แอวที่ใช้ แต่จะมีการใช้สีที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งพบว่ามีการใช้สีธรรมชาติ และสีเคมีควบคู่กันไป อีกทั้งยังสอดแทรกลวดลายได้มากกว่าชาวลัวะ ด้วยเทคนิคการจกด้วยลวดลายอันวิจิตรของชาวปกาเกอญอ นอกจากนี้ ยังมีการปักเข้ามาผสมผสานเมื่อมีการตัดเป็นเสื้อ ผ้าทอผู้ชาย มักจะใช้สีแดงเป็นหลัก ส่วนผู้หญิง มักจะใช้สีดำ แดง เหลือ เป็นหลัก แต่ปัจจุบันมีการใช้สีเคมีมากขึ้น ทำให้มีการใช้สีอื่นๆ เข้ามาแทรกร่วมด้วย จึงมีสีสันที่สดใสร่วมสมัยมากขึ้น ผ้าทอปกาเกอญอ มีทั้งเสื้อของผู้ชาย ของหญิงสาว ของหญิงที่ออกเรือนแล้ว ผ้าคาดหัว ถุงย่าม ผ้าห่ม เป็นต้น

นอกจากจะเป็นการทอแล้ว ลักษณะเด่นของชาวปกาเกอญอนั้น คือ การปัก มีการปักด้วยเส้นผ้ายหลายสี การปักลูกเดือยขนาดต่างๆ โดยนำเดือยมาจากทางอำเภอแม่นาจร หรือทางตำบลปางหินฝน มาวางลวดลาย ปัจจุบันลักษณะการปักผ้าที่สวยงามนี้มีหลายหมู่บ้าน เช่น ที่บ้านแม่หอย บ้านแม่ซา เป็นต้น

ช่างทอผ้า
ช่างทอผ้านี้ เป็นงานของผู้หญิง ทั้งชาวไทยวน ลัวะ และปกาเกอญอ ล้วนแล้วแต่มีฝีมือด้านนี้กันทั้งสิ้น ด้วยผ้าเป็นปัจจัยหลักนั่นคือเครื่องนุ่งห่ม ตามอัตลักษณ์ของตน แต่เดิมเป็นการทอผ้าใช้กันในครอบครัว และมีบางส่วนที่ทอขายสำหรับคนที่ไม่มีฝีมือทางด้านนี้
การทอผ้า มีการทอหลากหลายชนิด บางส่วนทอผ้าพื้นสำหรับนำไปตัดเสื้อและกางเกง สำหรับผู้ชาย บางส่วนทอผ้าห่ม ผ้าทุ้ม ถุงย่าม หน้าหมอน และที่สำคัญอันเป็นสิ่งที่ขึ้นชื่อของแม่แจ่มนั้น คือ ผ้าซิ่นตีนจก
ช่างทอผ้าไทยวน ชาวไทยวนหรือคนเมืองมีเอกลักษณ์อยู่ที่การทอผ้าซิ่นตีนจก ผ้าตีนจกแม่แจ่มมีความสวยงาม ละเอียดมาก และทอแน่น จนบางครั้งยากต่อการแยกแยะว่าด้านหน้าหรือด้านหลัง
ผ้าซิ่นตีนจกของแม่แจ่ม มีลวดหลายหลักอยู่ 16 ลาย แบ่งเป็นลายแม่แจ่มโบราณ มี 11 ลาย ได้แก่ ลายหละกอนหลวง ลายเจียงแสนน้อย ลายขันเสี้ยนสำ ลายหงส์บี้ ลายหงส์ปล่อย ลายโกมฮูปนก ลายโกมหัวหมอน ลายขันสามเอว ลายขันเอวอู ลายกุดขอเบ็ด และลายนกกุม และลวดลายใหม่ที่เป็นที่นิยมอีกจำนวน 5 ลาย ได้แก่ ลายหละกอนหน้อย ลายหละกอนก๋าง ลายเจียงแสนหลวง ลายนาคกูม และลายนกนอน โดยทั้งหมดนี้ ได้รับขึ้นทะเบียนเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indications: GI) และใช้ตรา GI ได้



ผ้าตีนจก ถือเป็นสิ่งที่ขึ้นชื่อ เมื่อกล่าวถึงแม่แจ่ม ผู้คนมักจะนึกถือผ้าตีนจกเป็นสิ่งแรก ปัจจุบันมีหลายหมู่บ้านที่ทอผ้าตีนจกกัน เช่น บ้านท้องฝาย บ้านทัพ บ้านไร่ บ้านสองธาร บ้านยางหลวง บ้านกองกาน ฯลฯ นอกจากจะมีการทอผ้าตีนจกแล้ว ยังมีการทอตัวซิ่น ทั้งที่เป็นลายก่าน คือลายขวาง และยังมีการทอผ้าลายผอมอ้วน (บางคนเรียกลายหอมอ้วน) อีกด้วย จากนั้นจึงมีการนำตัวซิ่น มาต่อตีนต่อเอว จึงจะสมบูรณ์เป็นผืนสำหรับนุ่ง หากต่อตีนด้วยลายจกแล้วมักจะใช้นุ่งในงานบุญ และโอกาสสำคัญ
ชาวไทยวน ยังนิยมทอซิ่นลัวะ เพื่อใช้ในการนุ่งอยู่บ้านในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นการรับเอาเทคนิคการมัดหมี่แบบลัวะมาใช้ พร้อมกับทอผ้าตามลวดลายของชาวลัวะ แต่มีการขยายหน้าฟืมให้กว้างขึ้น และเย็บผืนให้กว้างขึ้นกว่าของลัวะ
นอกจากผ้าซิ่นแล้วยังมีการจกลายหน้าหมอน สำหรับประกอบหมอนหก สำหรับใช้หนุน ทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก เพื่อเสริมแต่งเติมให้สวยงาม (บางพื้นที่นิยมในการปักดิ้นตรงหน้าหมอน) บางครั้งก็พบการทอลวดลายหน้าหมอนให้ติดต่อกัน เป็นผืนเพื่อใช้สำหรับทำตุงถวายวัด มักไม่ค่อยทอตุงเป็นผืนใหญ่หรือลวดลายอื่นอย่างของชาวไทลื้อ

ส่วนฝ้ายที่นำมาทอนั้น ก็จะเป็นฝ้ายที่ปลูกเอง ฝ้ายของแม่แจ่ม มีอยู่ด้วยกันสองสี คือ “ฝ้ายสีขาว” ที่มีจำนวนมาก และ “ฝ้ายก่อน” ที่มีสีน้ำตาล อันเป็นฝ้ายที่มีจำนวนน้อย ฝ้ายก่อนนี้เมื่อนำมาทอเป็นผืนแล้ว มักจะตัดเป็นเสื้อผ้าสำหรับผู้ชาย (สัมภาษณ์ แม่อินทร์ศรี กรรณิกา, 2559) ส่วนฝ้ายสีขาวก็จะนำมาย้อมเป็นสีต่างๆ ด้วยสีจากธรรมชาติ ปัจจุบัน มักจะนำฝ้ายที่ย้อมด้วยสีเคมีจากข้างนอก เข้ามาใช้ในการทอผ้า และก็มีบางส่วนที่ยังคงใช้สีแบบธรรมชาติ (บางทีก็ขึ้นกับลูกค้าที่สั่ง)
ช่างทอผ้าลัวะ ชาวลัวะก็นิยมทอผ้า แต่การทอผ้าของชาวลัวะนั้น ไม่ใช้กี่ทอผ้าเป็นหลังใหญ่อย่างของคนไทยวน แต่จะใช้กี่ขนาดเล็ก ผูกติดกับเอว ส่วนอีกด้านหนึ่งผูกเชือกกับเสาหรือข้างฝา โดยใช้เอวเป็นตัวดึงให้ตึงในการทอ ด้วยการที่การทอผ้าโดยผูกกับเอวนี้ จึงนิยมเรียกว่า “กี่แอว” หรือกี่เอว ฉะนั้นความกว้างของผ้าจึงไม่กว้างมาก ฉะนั้นในการตัดเย็บมักจะใช้สองผืนต่อกันตรงกลาง



ผ้าทอของชาวลัวะ มีลักษณะเด่น คือ ทอแน่น และหนา เหมาะสำหรับการนุ่งในพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเย็น นอกจากนี้ยังสามารถช่วยป้องกันอันตรายจากของมีคมได้ เพราะความหนาของผ้าช่วยป้องกันอันตรายจากของมีคมได้
นอกจากนี้ยังมีการทอด้วยลวดลายตกแต่งสวยงาม ผ้าซิ่นบางช่วงนิยมการมัดหมี่ในเส้นยืน คนไทยวนพื้นเมืองเรียกลวดลายนี้ว่า ลายมีดซุย ซึ่งมีลักษณะคล้ายมีดซุย ส่วนชาวลัวะมองเห็นเป็นรูปนก ซึ่งซิ่นของชาวลัวะนั้นมักจะแคบและสั้น และลักษณะของผ้าซิ่นชาวลัวะนั้นก็ถ่ายทอดมายังคนไทยวนหรือคนเมืองพื้นราบด้วย จะเลียนแบบการทอลายมีดซุย หากช่างทอไม่มีความชำนาญก็จะไม่สามารถทำให้เหมือนได้ แต่ก็มีการปรับด้วยขนาดกี่ กว้างกว่า ทำให้ชาวไทยวนที่เลียนการทอของชาวลัวะมาแต่มีการปรับขนาดความยาวและความกว้างให้มากขึ้นตามความนิยมของแต่ละคน แม้ว่าคนไทยวนจะเป็นคนทอแต่ก็ยังคงเรียกซิ่นแบบนั้นว่า ซิ่นลัวะ อยู่นั่นเอง นอกจากนี้จะนิยมทอผ้าพื้นสำหรับการตัดเสื้อ (โดยเฉพาะสีขาว) ยังมีการทอผ้าห่ม ผ้าในพิธีกรรม ถุงย่าม ปลอกแขน ปลอกแข้ง และผ้ามัดเอวสำหรับผู้ชายรวมอยู่ด้วย
ผ้าในพิธีกรรม โดยเฉพาะพิธีกรรมในงานศพ โดยจะมีการทอผ้ารองศพ และผ้าคลุมศพ ซึ่งผ้าคลุมเท่านั้นที่จะมีลวดลายเฉพาะตัว เชื่อว่าจะนำพาวิญญาณไปสู่สรวงสวรรค์ ต่อมาเมื่อมีการเปิดการค้ากับภายนอก นอกจากจะมีการนำเสื้อ ซิ่น มาขายแล้ว ยังนำลวดลายอันถือว่าเชื่อมต่อโลกมนุษย์และสวรรค์ นับว่าเป็นสิ่งมงคล มาประดับตกแต่งกับเสื้อ หรือทอเป็นผืนอีกด้วย (สัมภาษณ์ นุสรา เตียงเกตุ, 2560)

ช่างทอผ้าปกาเกญอ ก็ทอผ้าโดยใช้กี่แอว เช่นเดียวกับชาวลัวะ มีเทคนิคมัดหมี่เหมือนกัน ตลอดถึงความกว้างของผืนผ้าที่มีหน้าแคบคล้ายกับชาวลัวะ อันเกิดจากกี่แอวที่ใช้ แต่จะมีการใช้สีที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ซึ่งพบว่ามีการใช้สีธรรมชาติ และสีเคมีควบคู่กันไป อีกทั้งยังสอดแทรกลวดลายได้มากกว่าชาวลัวะ ด้วยเทคนิคการจกด้วยลวดลายอันวิจิตรของชาวปกาเกอญอ นอกจากนี้ ยังมีการปักเข้ามาผสมผสานเมื่อมีการตัดเป็นเสื้อ ผ้าทอผู้ชาย มักจะใช้สีแดงเป็นหลัก ส่วนผู้หญิง มักจะใช้สีดำ แดง เหลือ เป็นหลัก แต่ปัจจุบันมีการใช้สีเคมีมากขึ้น ทำให้มีการใช้สีอื่นๆ เข้ามาแทรกร่วมด้วย จึงมีสีสันที่สดใสร่วมสมัยมากขึ้น ผ้าทอปกาเกอญอ มีทั้งเสื้อของผู้ชาย ของหญิงสาว ของหญิงที่ออกเรือนแล้ว ผ้าคาดหัว ถุงย่าม ผ้าห่ม เป็นต้น

นอกจากจะเป็นการทอแล้ว ลักษณะเด่นของชาวปกาเกอญอนั้น คือ การปัก มีการปักด้วยเส้นผ้ายหลายสี การปักลูกเดือยขนาดต่างๆ โดยนำเดือยมาจากทางอำเภอแม่นาจร หรือทางตำบลปางหินฝน มาวางลวดลาย ปัจจุบันลักษณะการปักผ้าที่สวยงามนี้มีหลายหมู่บ้าน เช่น ที่บ้านแม่หอย บ้านแม่ซา เป็นต้น


ช่างเงิน
ช่างที่ทำเครื่องเงิน มักจะเป็นชาวลัวะ ที่มีเทคนิควิธีการ ลวดลายเฉพาะตัว ชาวลัวะมักใช้เครื่องประดับที่ทำจากเงิน เช่น ตุ้มหู กำไลหรือสร้อยที่ใช้เชือกถักเม็ดเงิน มีดหลูบเงิน เป็นต้น



หมู่บ้านที่เป็นช่างเงินนั้นส่วนใหญ่อยู่ที่บ้านแปะ ตำบลปางหินฝน พ่อดวงตา วันจิตรพนา เล่าให้ฟังว่า ส่วนใหญ่จะทำ “ฮางเมา” หรือสร้อย สร้อยที่ว่า คือ การร้อยเม็ดเงิน (เม็ดเงินที่คล้ายเงินพดด้วง) ซึ่งใช้สำหรับการรับขวัญเด็ก หรือมอบให้เจ้าสาวในงานแต่งงาน เป็นต้น
วิธีการทำเม็ดเงินสำหรับร้อยนั้น มักจะเป็นเงิน 92.5% (ผสมทองแดง เพื่อให้เงินแข็งขึ้น ขึ้นรูปได้ง่าย) แรกเริ่มนั้นก็นำเม็ดเงินมาหลอมในเบ้าหลอม โดยกะสัดส่วนผสมให้พอเหมาะ (ซึ่งสัดส่วนการผสมนี้ มักจะเป็นความลับ) เบ้าหลอมเป็นเบ้าหลอมดินเผา เมื่อเงินหลอมในเบ้าแล้ว ก็จะเป็นก้อนขนาดที่ต้องการ แล้วจึงนำมาตึขึ้นรูป แล้วมาต้มในน้ำส้มป่อยเพื่อให้เงินเงางาม (สัมภาษณ์นายดวงตา วันจิตรพนา, 2561)

จากนั้นมีการตอกลาย เรียกว่า “ลายไข่ปลา” อันหมายถึงความร่ำรวย อุดมสมบูรณ์ เพราะปลา 1 ตัว นั้นมีไข่ในท้องจำนวนมาก (สัมภาษณ์นายวรรัตน์ ผองชนอารยะ, 2561) ชาวลัวะมักมีความสัมพันธ์กับปลา นอกจากจะใช้ปลาในพิธีกรรมแล้ว ยังมีการตอกรูปปลา ไว้ที่ก้นปลอกดาบอีกด้วย

การตีเครื่องเงิน นอกจากจะตีฮางเมา หรือสร้อยแล้ว ยังมีการทำ ลาน (จี้หู), ปักมือ (แหวน) อันเป็นเครื่องประดับ และนอกจากนี้ยังมีการตีใบดาบ และปลอกดาบหรือมีดอีกด้วย ซึ่งมีดหุ้มเงินด้ามงา นั้น จะเป็นเครื่องประดับผู้ชาย อันแสดงถึงฐานะและความร่ำรวย ในการแต่งตัวเต็มยศ จะห้อยมีดหุ้มเงินด้ามงาไว้ที่เอว

ช่างเงิน
ช่างที่ทำเครื่องเงิน มักจะเป็นชาวลัวะ ที่มีเทคนิควิธีการ ลวดลายเฉพาะตัว ชาวลัวะมักใช้เครื่องประดับที่ทำจากเงิน เช่น ตุ้มหู กำไลหรือสร้อยที่ใช้เชือกถักเม็ดเงิน มีดหลูบเงิน เป็นต้น



หมู่บ้านที่เป็นช่างเงินนั้นส่วนใหญ่อยู่ที่บ้านแปะ ตำบลปางหินฝน พ่อดวงตา วันจิตรพนา เล่าให้ฟังว่า ส่วนใหญ่จะทำ “ฮางเมา” หรือสร้อย สร้อยที่ว่า คือ การร้อยเม็ดเงิน (เม็ดเงินที่คล้ายเงินพดด้วง) ซึ่งใช้สำหรับการรับขวัญเด็ก หรือมอบให้เจ้าสาวในงานแต่งงาน เป็นต้น
วิธีการทำเม็ดเงินสำหรับร้อยนั้น มักจะเป็นเงิน 92.5% (ผสมทองแดง เพื่อให้เงินแข็งขึ้น ขึ้นรูปได้ง่าย) แรกเริ่มนั้นก็นำเม็ดเงินมาหลอมในเบ้าหลอม โดยกะสัดส่วนผสมให้พอเหมาะ (ซึ่งสัดส่วนการผสมนี้ มักจะเป็นความลับ) เบ้าหลอมเป็นเบ้าหลอมดินเผา เมื่อเงินหลอมในเบ้าแล้ว ก็จะเป็นก้อนขนาดที่ต้องการ แล้วจึงนำมาตึขึ้นรูป แล้วมาต้มในน้ำส้มป่อยเพื่อให้เงินเงางาม (สัมภาษณ์นายดวงตา วันจิตรพนา, 2561)

จากนั้นมีการตอกลาย เรียกว่า “ลายไข่ปลา” อันหมายถึงความร่ำรวย อุดมสมบูรณ์ เพราะปลา 1 ตัว นั้นมีไข่ในท้องจำนวนมาก (สัมภาษณ์นายวรรัตน์ ผองชนอารยะ, 2561) ชาวลัวะมักมีความสัมพันธ์กับปลา นอกจากจะใช้ปลาในพิธีกรรมแล้ว ยังมีการตอกรูปปลา ไว้ที่ก้นปลอกดาบอีกด้วย

การตีเครื่องเงิน นอกจากจะตีฮางเมา หรือสร้อยแล้ว ยังมีการทำ ลาน (จี้หู), ปักมือ (แหวน) อันเป็นเครื่องประดับ และนอกจากนี้ยังมีการตีใบดาบ และปลอกดาบหรือมีดอีกด้วย ซึ่งมีดหุ้มเงินด้ามงา นั้น จะเป็นเครื่องประดับผู้ชาย อันแสดงถึงฐานะและความร่ำรวย ในการแต่งตัวเต็มยศ จะห้อยมีดหุ้มเงินด้ามงาไว้ที่เอว


ช่างจักสาน
งานจักสานของในท้องถิ่นอำเภอแม่แจ่ม ถือว่า เป็นสิ่งที่อยู่บนพื้นฐานวิถีชีวิตของผู้ชายชาวแม่แจ่มอยู่แล้ว เช่นเดียวกับงานทอผ้าที่เป็นงานของผู้หญิง งานจักสานโดยทั่วไปจะพบในเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่นตะกร้า หรือก๋วย, บ่ากวัก สำหรับเตรียมเส้นด้าย, ฮี้ หรือรั้วที่ใช้ล้อมสวนครัว, ขะจ๋าใส่น้ำเต้า เป็นต้น

ในพิธีกรรม ก็มีเครื่องจักสานหลายอย่าง เช่น การสานรัวราชวัตร, การสานพานใส่ดอกไม้, การสานโครงสำหรับติดเครื่องสักการะ หมากสุ่ม หมากเบ็ง ต้นผึ้ง ต้นดอก ต้นเทียน เป็นต้น รวมไปถึงต้นครัวทาน โดยเฉพาะพานใส่ดอกไม้ และต้นผึ้ง ที่ใช้ในงานทำบุญประเพณีต่างๆ ที่จะใช้เป็นเครื่องนำครัวทาน หรือเครื่องไทยทานเข้าสู่วัด ผู้ที่มีฝีมือด้านนี้ ได้แก่ พ่ออุ๊ยหลาน เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการสาน โดยถ้าเห็นตัวอย่างก็สามารถแกะลายสานให้เหมือนต้นฉบับได้โดยง่าย การสานนี้ต้องใช้ความพยายามอย่างสูง ซึ่งตัวพ่ออุ๊ยหลานเองนั้นต้องการถ่ายทอดความรู้นี้ให้กับลูกหลาย หรือผู้ที่สนใจ ไม่ว่าจะเป็นการสานขัน ตะกร้า พุ่มเครื่องสักการะ ดอกจันทน์แปดกลีบ หงส์ใบลาน

มีของสานอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งมีที่มาที่ไปพิสดารพอสมควร นั่นคือดอกพุดตาน พ่ออุ๊ยเคยเล่าให้ฟังว่าการสานดอกพุดตานนี้ ได้เรียนมาในความฝัน ซึ่งฝันไปว่า พระราชชายาเจ้าดารารัศมีมาสอนให้ พอตื่นมาก็ลองทำดู ปรากฏว่าทำได้ จากนั้นก็ทิ้งช่วงไปนาน กลับจะมาสานอีกที กลับลืมไปบ้าง จึงได้ตั้งขันขอจากพระรูปอีกครั้ง แล้วก็สามารถสานดอกพุดตาดใหม่ได้จนเป็นผลสำเร็จ (สัมภาษณ์ พ่อหลาน, 2560)

นอกจากพ่อหลานแล้ว ยังมีพ่อทน คำมาวัน จากบ้านไร่ ก็เป็นผู้จักสานทั้งขันดอก และพุ่มต้นผึ้งที่ใช้ในงานปอยหลวยของอำเภอแม่แจ่มด้วย

ช่างจักสาน
งานจักสานของในท้องถิ่นอำเภอแม่แจ่ม ถือว่า เป็นสิ่งที่อยู่บนพื้นฐานวิถีชีวิตของผู้ชายชาวแม่แจ่มอยู่แล้ว เช่นเดียวกับงานทอผ้าที่เป็นงานของผู้หญิง งานจักสานโดยทั่วไปจะพบในเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่นตะกร้า หรือก๋วย, บ่ากวัก สำหรับเตรียมเส้นด้าย, ฮี้ หรือรั้วที่ใช้ล้อมสวนครัว, ขะจ๋าใส่น้ำเต้า เป็นต้น

ในพิธีกรรม ก็มีเครื่องจักสานหลายอย่าง เช่น การสานรัวราชวัตร, การสานพานใส่ดอกไม้, การสานโครงสำหรับติดเครื่องสักการะ หมากสุ่ม หมากเบ็ง ต้นผึ้ง ต้นดอก ต้นเทียน เป็นต้น รวมไปถึงต้นครัวทาน โดยเฉพาะพานใส่ดอกไม้ และต้นผึ้ง ที่ใช้ในงานทำบุญประเพณีต่างๆ ที่จะใช้เป็นเครื่องนำครัวทาน หรือเครื่องไทยทานเข้าสู่วัด ผู้ที่มีฝีมือด้านนี้ ได้แก่ พ่ออุ๊ยหลาน เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการสาน โดยถ้าเห็นตัวอย่างก็สามารถแกะลายสานให้เหมือนต้นฉบับได้โดยง่าย การสานนี้ต้องใช้ความพยายามอย่างสูง ซึ่งตัวพ่ออุ๊ยหลานเองนั้นต้องการถ่ายทอดความรู้นี้ให้กับลูกหลาย หรือผู้ที่สนใจ ไม่ว่าจะเป็นการสานขัน ตะกร้า พุ่มเครื่องสักการะ ดอกจันทน์แปดกลีบ หงส์ใบลาน

มีของสานอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งมีที่มาที่ไปพิสดารพอสมควร นั่นคือดอกพุดตาน พ่ออุ๊ยเคยเล่าให้ฟังว่าการสานดอกพุดตานนี้ ได้เรียนมาในความฝัน ซึ่งฝันไปว่า พระราชชายาเจ้าดารารัศมีมาสอนให้ พอตื่นมาก็ลองทำดู ปรากฏว่าทำได้ จากนั้นก็ทิ้งช่วงไปนาน กลับจะมาสานอีกที กลับลืมไปบ้าง จึงได้ตั้งขันขอจากพระรูปอีกครั้ง แล้วก็สามารถสานดอกพุดตาดใหม่ได้จนเป็นผลสำเร็จ (สัมภาษณ์ พ่อหลาน, 2560)

นอกจากพ่อหลานแล้ว ยังมีพ่อทน คำมาวัน จากบ้านไร่ ก็เป็นผู้จักสานทั้งขันดอก และพุ่มต้นผึ้งที่ใช้ในงานปอยหลวยของอำเภอแม่แจ่มด้วย


ช่างทำปิ่น
ช่างทำปิ่นมีเพียงเจ้าเดียวในอำเภอแม่แจ่ม ซึ่งแต่เดิมเป็นของพ่ออุ๊ยก้อนแก้ว อินต๊ะก๋อน บ้านทัพ เป็นผู้ทำปิ่นแม่แจ่มจนมีชื่อเสียง ด้วยลวดลายอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอันงดงาม ทั้งที่เป็นทองเหลือง เงิน มีทั้งที่ติดด้วยแก้วสีต่างๆ รวมถึงหย่อง หรือที่เสียบเก็บปลายมวยผมอีกด้วย จากการที่พ่อก้อนแก้ว อินต๊ะก๋อน ได้เสียชีวิตลงไป การสืบทอดเรื่องของปิ่นแม่แจ่ม ก็ยังคงสืบทอดต่อไปยังลูกสาว คือพี่บัวจั๋น ที่ยังคงสืบทอดอาชีพการทำปิ่นแม่แจ่มนี้ต่อไป โดยสามารถขยายฐานของลูกค้าผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์อย่างเช่น Facebook ด้วย

ที่มา: ภาพพี่บัวจั๋น @PinPakPhmMaecaem
ช่างทำปิ่น
ช่างทำปิ่นมีเพียงเจ้าเดียวในอำเภอแม่แจ่ม ซึ่งแต่เดิมเป็นของพ่ออุ๊ยก้อนแก้ว อินต๊ะก๋อน บ้านทัพ เป็นผู้ทำปิ่นแม่แจ่มจนมีชื่อเสียง ด้วยลวดลายอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอันงดงาม ทั้งที่เป็นทองเหลือง เงิน มีทั้งที่ติดด้วยแก้วสีต่างๆ รวมถึงหย่อง หรือที่เสียบเก็บปลายมวยผมอีกด้วย จากการที่พ่อก้อนแก้ว อินต๊ะก๋อน ได้เสียชีวิตลงไป การสืบทอดเรื่องของปิ่นแม่แจ่ม ก็ยังคงสืบทอดต่อไปยังลูกสาว คือพี่บัวจั๋น ที่ยังคงสืบทอดอาชีพการทำปิ่นแม่แจ่มนี้ต่อไป โดยสามารถขยายฐานของลูกค้าผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์อย่างเช่น Facebook ด้วย

ที่มา: ภาพพี่บัวจั๋น @PinPakPhmMaecaem

ช่างพุทธศิลป์
เป็นช่างที่ทำงานด้านพุทธศิลป์ หรือของใช้ที่ใช้ในวัด เช่น ธรรมาสน์ อาสนา หีบธรรม สัตภัณฑ์ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นของที่ใช้ในวัดวาอารามต่างๆ และจะเป็นเครื่องไทยทานที่จะต้องนำเข้าสู่วัด ถวายวัดเป็นชุดแรก ในงานประเพณีปอยหลวง หรือเฉลิมฉลองอาคารเสนาสนะทั้งหลาย ก็จะต้องนำถวายก่อน แล้วเครื่องไทยทานอื่นๆ จะสามารถนำเข้าไปถวายต่อไปได้

ฉะนั้น ในอำเภอแม่แจ่ม ก็จะมีช่างที่ทำสิ่งเหล่านี้ โดยจะต้องตระเตรียมกันเป็นแรมปี ทั้งเจ้าศรัทธา และช่างผู้จัดทำ ขึ้นกับว่าเจ้าศรัทธาจะมีความต้องการแบบใด ตกแต่งลวดลายแบบใด ก็สามารถสร้างงานพุทธศิลป์เหล่านี้ เช่น พ่อหนานประเสริฐ ปันศิริ บ้านพร้าวหนุ่ม ที่นอกจากจะเป็นปราชญ์ชาวบ้าน สมาชิกสภาวัฒนธรรมอำเภอแม่แจ่มแล้ว ยังเป็นช่างอีกด้วย
ช่างพุทธศิลป์
เป็นช่างที่ทำงานด้านพุทธศิลป์ หรือของใช้ที่ใช้ในวัด เช่น ธรรมาสน์ อาสนา หีบธรรม สัตภัณฑ์ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นของที่ใช้ในวัดวาอารามต่างๆ และจะเป็นเครื่องไทยทานที่จะต้องนำเข้าสู่วัด ถวายวัดเป็นชุดแรก ในงานประเพณีปอยหลวง หรือเฉลิมฉลองอาคารเสนาสนะทั้งหลาย ก็จะต้องนำถวายก่อน แล้วเครื่องไทยทานอื่นๆ จะสามารถนำเข้าไปถวายต่อไปได้

ฉะนั้น ในอำเภอแม่แจ่ม ก็จะมีช่างที่ทำสิ่งเหล่านี้ โดยจะต้องตระเตรียมกันเป็นแรมปี ทั้งเจ้าศรัทธา และช่างผู้จัดทำ ขึ้นกับว่าเจ้าศรัทธาจะมีความต้องการแบบใด ตกแต่งลวดลายแบบใด ก็สามารถสร้างงานพุทธศิลป์เหล่านี้ เช่น พ่อหนานประเสริฐ ปันศิริ บ้านพร้าวหนุ่ม ที่นอกจากจะเป็นปราชญ์ชาวบ้าน สมาชิกสภาวัฒนธรรมอำเภอแม่แจ่มแล้ว ยังเป็นช่างอีกด้วย